วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

21 ม.ค.56 ม็อบนัดทวงอธิปไตย



กลุ่มคนไทยรักชาติฯ ดีเดย์ชุมนุมใหญ่ 21 ม.ค. - ล่า 1 ล้านรายชื่อต้านรับมติศาลโลก เตรียมฟ้องรัฐบาล - กต.เผยแพร่ข้อมูลเป็นเท็จ เหน็บเจ๊ ด. ยกลูกสาวให้นักการเมืองเขมร ด้าน ปชป.หนุนรัฐบาลสู้ต่อในศาล "นพดล” ปัดแถลงการณ์ร่วมทำให้เสียดินแดน ทั้งที่ยอมรับศาลปกครองชี้โมฆะทำให้อ้างอิงในศาลไม่ได้ ซัดกลับ สมัย "หม่อมเสนีย์" เสียตัวปราสาทให้เขมร     
    เมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค   กลุ่มแนวร่วมคนไทยรักชาติ รักษาแผ่นดิน และช่อง 13 สยามไท ร่วมกันจัดงานสัมมนาหักศอกนอกทำเนียบฯ หัวข้อ “ตั้งหลักประเทศไทย หยุดประชาธิปไตยสามานย์” ทั้งนี้ ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมคนไทยรักชาติ รักษาแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเตรียมตัดสินคดีปราสาทพระวิหารว่า ที่ผ่านมาทางกลุ่มได้ดำเนินการในหลายๆ หนทาง เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย ทว่าทางรัฐบาลยังคงนิ่งเฉย พร้อมกับปล่อยให้ข่าวคราวเงียบหายไปอย่างไม่สนใจอะไร โดยขณะนี้ทางรัฐบาลควรจะแสดงท่าทีแข็งกร้าว ด้วยการไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก และถอนตัวออกมาทันที เพื่อแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อเรื่องดังกล่าว 
    อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวคงเป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะปฏิบัติตามข้อเสนอของเรา เนื่องจากทราบว่ารัฐบาลได้ทำข้อตกลงเจบีซีและจีบีซีร่วมกับกัมพูชาตั้งแต่สมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ช่วงปี พ.ศ.2544 ซึ่งเป็นข้อตกลงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร และพื้นที่ทรัพยากรธรรมชาติบริเวณอ่าวไทย ซึ่งตรงนี้เราไม่สามารถแก้ไขใดๆ ได้แล้ว
"คนไทยรักชาติ" ค้านรับคำตัดสิน
     ม.ล.วัลย์วิภากล่าวต่อว่า เคยไปยื่นจำหน่ายคดีนี้ต่อศาลโลกเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.2555 และทางศาลโลกก็ได้รับเรื่องไว้แล้ว โดยที่ผ่านมาประชาชนจะเข้าใจถึงกรณีของศาลโลกว่าต้องเป็นเรื่องระหว่างรัฐต่อรัฐเท่านั้น ซึ่งถือว่าเราทำสำเร็จแม้จะไม่มีรัฐบาลช่วยหนุนหลัง โดยเอกสารความยาวกว่า 7 หน้าที่ยื่นต่อศาลโลกนั้น เนื้อหาระบุว่า ราชอาณาจักรไทยเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ และเคยเป็นภาคีศาลโลก ต่อมาเมื่อปี 2505 รัฐบาลไทยโดยฉันทามติของประชาชนชาวไทยเห็นว่าการดำเนินงานของศาลโลกไม่เป็นไปเพื่อความยุติธรรม ไม่เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่เคารพต่อความเป็นจริง และอยู่ภายใต้การครอบงำแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจ ได้กระทำการอันไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ยุติธรรม ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารซึ่งเป็นของไทยว่าเป็นของกัมพูชา
    ”ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงได้ถอนตัวออกจากการเป็นภาคีสมาชิกของศาลโลกนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ราชอาณาจักรไทยจึงไม่มีความเกี่ยวข้องผูกพันใดๆ กับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และศาลไม่มีเขตอำนาจหรืออำนาจใดในการพิจารณาพิพากษาเรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับราชอาณาจักรไทยอีก” ม.ล.วัลย์วิภากล่าว พร้อมระบุว่า หลังจากนี้ทางกลุ่มจะรวบรวมรายชื่อประชาชนที่เห็นด้วยว่าจะไม่รับคำตัดสินของศาลโลกให้ได้ 1 ล้านรายชื่อ เพื่อไปยื่นต่อประธานศาลฎีกาต่อไป
    ม.ล.วัลย์วิภากล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางการช่วยเหลือนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำประเทศกัมพูชานั้น ส่วนตัวมองว่าหากไทยไม่เสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร ก็จะสามารถช่วยเหลือบุคคลทั้งสองได้ เนื่องจากบุคคลทั้งคู่ถูกจับกุม เพราะกัมพูชามองว่าเป็นพื้นที่ของเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อทางนายวีระเลือกแนวทางยอมรับผิดเพื่อจะขออภัยโทษแล้วนั้น ก็ต้องยอมรับผลการตัดสินใจของนายวีระและครอบครัวต่อไป
ฟ้องรัฐบาล-ชุมนุมใหญ่ 21 ม.ค.
     นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำแนวร่วมคนไทยรักชาติ รักษาแผ่นดิน กล่าวว่า ทางกลุ่มจะไปยื่นฟ้องกล่าวหารัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศต่อศาลอาญา รัชดาฯ เนื่องจากเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จกรณีไทย-กัมพูชาต่อสาธารณชน และในวันที่ 21 ม.ค. ทางกลุ่มจะมีการนัดชุมนุมใหญ่เพื่อเดินขบวนยื่นหนังสือเรียกร้องพร้อมกับรายชื่อประชาชนที่เห็นด้วยต่อประธานศาลฎีกาและต่อผู้นำเหล่าทัพ โดยวันนี้มีรายชื่อประชาชนที่เห็นด้วยประมาณ 5.7 แสนรายชื่อ และคาดว่าภายในวันที่ 21 ม.ค.จะมีรายชื่อผู้เห็นด้วยประมาณ 1 ล้านรายชื่อ ทั้งนี้คาดว่าจะใช้สะพานมัฆวานรังสรรค์เป็นสถานที่นัดชุมนุม  เริ่มตั้งแต่เวลา 13.00 น.
    ขณะที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวว่า อยากตั้งข้อสังเกตถึงเจ๊ ด. ที่ก่อนหน้านี้ 2 เดือนบอกว่าไม่ให้ลูกสาวแต่งงานกับนักการเมืองกัมพูชา แต่ผ่านไปไม่นานก็กลับยกลูกสาวให้เขาไป ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับกรณีนี้หรือไม่ 
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้มีข้อความบนป้ายขนาดใหญ่ติดตั้งอยู่ริมถนนสายกันทรลักษ์-น้ำยืน บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 10 จากสามแยกบ้านภูมิซรอลไปทาง อ.น้ำยืน ข้อความว่า "หมู่บ้านสมัชชาธรรมยาตราพิทักษ์สยาม ทวงคืนเขาพระวิหาร  มณฑลบูรพา โดยอนุสัญญาโตเกียว ค.ศ.1941" เพื่อแสดงให้เห็นถึงการขับเคลื่อนกรณีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกจะมีการพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในเดือน เม.ย.56 นี้ ขณะเดียวกัน ที่บ้านของนายผัน กิ่งแสง บ้านโศกขามป้อม ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ มีการจัดตั้งเวทีขนาดใหญ่ เพื่อให้เป็นศูนย์ประสานงานในการขับเคลื่อนกรณีดังกล่าว โดยนายผันกล่าวว่า เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนต้องออกมาร่วมกันในการทวงคืน ทั้งนี้ ตนได้รับการประสานงานมาว่ากลุ่มพลังมวลชนจากกรุงเทพฯ จะมาร่วมกันเคลื่อนไหวด้วย ก่อนที่ตนจะประสานงานกับชุมชนศีรษะอโศกเพื่อขอสนับสนุนอาหาร 
ปชป.หนุน กต.สู้ศาลโลก
    นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ ระบุถึงการต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารในศาลโลกนั้น ไทยมีแต่เสมอตัวหรือแพ้ว่า เป็นการแสดงออกที่ชัดเจนว่ายอมจำนน แม้ต่อมาหลังถูกวิจารณ์นายสุรพงษ์จะมีการแก้ข่าวว่าจะต่อสู้อย่างเต็มที่ และนำทีมไปต่อสู้คดีด้วยตัวเอง แต่ก็สะท้อนพฤติการณ์ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.การต่างประเทศ ว่าไม่มีจุดยืน ทั้งนี้ การที่นายสุรพงษ์เปลี่ยนท่าทีว่าจะเป็นตัวแทนรัฐบาลเป็นผู้นำต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารนั้น ตนเห็นว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง โดยต้องเป็นผู้นำในการวางแผนต่อสู้คดีให้ชนะ และเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ไม่ใช่ไปจ้องหน้าให้นายฮอร์ นัมฮง รมว.การต่างประเทศของกัมพูชาเสียสมาธิเพียงอย่างเดียว 
     นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายสุรพงษ์เตรียมฟ้องร้องบุคคลที่พูดพาดพิงว่า รัฐบาลแลกเปลี่ยนพื้นที่ปราสาทพระวิหารกับผลประโยชน์ทางทะเลว่า นายสุรพงษ์จะต้องสร้างความมั่นใจในการเดินหน้าต่อสู้คดี และชี้แจงข้อสงสัยทั้งหลาย เกิดจากการแสดงออกทำนองที่เหมือนจะแพ้คดี อีกทั้งการเดินหน้าเจรจาพื้นที่ทางทะเลก็ต้องพูดให้ชัดว่ารัฐบาลดำเนินการหรือไม่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของประชาชนที่มีสิทธิ์ที่จะรู้และตรวจสอบ ทั้งนี้ ไม่กังวลที่จะมีการฟ้องร้อง เพราะตั้งคำถามที่อยู่บนพื้นฐานข้อมูลบนความสุจริตและปกป้องประโยชน์สาธารณะ 
    ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า รู้สึกสลดใจกับความพยายามของนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่บิดเบือนใส่ร้ายอย่างต่อเนื่องว่า เป็นเพราะตนไปทำคำแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชา จึงทำให้กัมพูชาได้สิทธิ์ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ตั้งแต่สมัย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และเป็นอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตามที่ศาลโลกตัดสิน
นพดลชี้ "ปราสาท" เป็นของเขมร 
    "เมื่อเขาเป็นเจ้าของปราสาท เขาจึงมีสิทธิ์นำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยไม่จำเป็นต้องมีคำแถลงการณ์ร่วม แต่ที่ต้องทำแถลงการณ์ร่วม เพราะในปี 2549 ก่อนที่พวกผมเข้ารับตำแหน่ง กัมพูชายื่นคำขอขึ้นทะเบียน 1.ตัวปราสาทพระวิหาร 2.พื้นที่ทับซ้อนเป็นมรดกโลก แต่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และผม เป็นคนเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และขึ้นทะเบียนได้เฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น โดยกัมพูชายอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออก ตามที่ระบุในข้อ 9 ของมติคณะกรรมการมรดกโลกที่ประชุมที่ประเทศแคนาดาในวันที่ 7 ก.ค.51 อยากให้พรรคการเมืองและคนไทยทุกกลุ่มเลิกใช้ความเท็จและหันมาผนึกกำลังกันต่อสู้คดีที่อยู่ในศาลโลก น่าจะมีประโยชน์มากกว่ามาโทษกันไปมาและบิดเบือนใส่ร้ายเพื่อหวังผลการเมือง" นายนพดลระบุ 
     นายนพดลกล่าวว่า คดีที่กำลังพิจารณาอยู่ในศาลโลกเป็นการตีความคำตัดสินของศาลโลกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ไม่ใช่คดีใหม่ ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชามา 50 ปีแล้ว และคดีนี้เป็นคนละเรื่องกับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกที่กัมพูชาขึ้นทะเบียนตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกไปตั้งแต่ปี 2551 แล้ว ทั้งนี้กัมพูชาไม่สามารถนำคำแถลงการณ์ร่วมไปใช้ประกอบในการขึ้นทะเบียนปราสาทเป็นมรดกโลก เพราะศาลปกครองได้ตัดสินว่าคำแถลงการณ์ร่วมเป็นโมฆะและไร้ผล รวมทั้งห้ามนำไปอ้างอิงใดๆ และมีการรับรองและระบุชัดเจนในข้อมติของคณะกรรมการมรดกโลกในวันที่ 7 ก.ค.51 ข้อ 5 ว่า ให้ตัดคำแถลงการณ์ร่วมออกจากการพิจารณาว่าจะขึ้นทะเบียนตัวปราสาทหรือไม่ ตามที่ศาลปกครองไทยตัดสิน อีกทั้งไทยและกัมพูชายอมรับว่าแถลงการณ์ร่วมสิ้นผลไปแล้ว ตามหนังสือที่นายเตช บุนนาค รมว.การต่างประเทศขณะนั้น แจ้งไปยังกัมพูชา.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น