วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

ดัน‘พงศ์เทพ’ช่วยสุรพงษ์ ข่าวหน้า 1 8 January 2556



"ยิ่งลักษณ์” วอนอย่าดึงคดีรอบนอกปราสาทพระวิหารมาเป็นเรื่องการเมือง ยันเดินหน้ารักษาผลประโยชน์ของชาติ หวั่น "ปึ้งศักดิ์” สู้คดีมั่วส่ง "พงศ์เทพ” ตามประกบศึกษาข้อกฎหมาย ขณะที่ "ซีไอเอสงค์” เตรียมร้องผู้นำเหล่าทัพและประธานศาลฎีกาออกมาหยุดรัฐบาล
    น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เมื่อวันจันทร์ถึงการชุมนุมของกลุ่มคนไทยรักชาติ รักษาแผ่นดิน กรณีปราสาทพระวิหาร ว่าคงต้องขอร้อง การชุมนุมขอให้ทำโดยความสงบ และประเด็นเรื่องปราสาทพระวิหาร ต้องขอความกรุณาว่าเราอย่าพูดเป็นประเด็นทางการเมืองเลย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญของประเทศ รัฐบาลยืนยันในการต่อสู้เพื่อปกป้องอธิปไตยอย่างเต็มที่
    ผู้สื่อข่าวถามว่า จะถือโอกาสคุยกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรี กัมพูชา โดยใช้ความสนิทสนมส่วนตัวหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์บอกว่า ขอเรียนว่า งานบางอย่างเราใช้ความรู้จักกันส่วนตัว เราคุยได้ในลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เรื่องส่วนตัวไม่มีอะไรที่จะมาลบล้างความสำคัญของผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นที่ตั้ง 
    "สิ่งสำคัญ เรื่องต่างๆ ของปราสาทพระวิหารขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของคดีความ คงต้องว่าไปตามขั้นตอนของกฎหมายด้วย แต่เราเองได้ให้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะมีความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎหมาย รับผิดชอบดูกรณีข้อพิพาทนี้ร่วมกับ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ”
    นายกฯ ย้ำว่า ทุกประเทศต้องปกป้องผลประโยชน์ประเทศชาติของตนเอง ดังนั้นทุกอย่างคงต้องว่าไปตามขั้นตอน แต่เราต้องทำในขั้นตอนของประเทศไทยให้ดีที่สุด และเราก็พยายามอาศัยความสัมพันธ์ทางการทูต ให้การพิจารณาต่างๆ นั้นเป็นไปอย่างสงบให้มาก ไม่อยากให้บรรยากาศแนวชายแดนมีบรรยากาศที่ตึงเตรียด ดังนั้น จึงขอร้องไม่ให้ปัญหานี้เป็นปัญหาการเมือง สิ่งที่เราต้องการคือ ทำอย่างไรจะร่วมกันรับฟังข้อคิดเห็น และสรรพกำลังที่จะต่อสู้แก้ไขและปกป้องอธิปไตยให้ดีที่สุด
    เมื่อถามว่า ทีมโฆษกที่นายกฯ ต้องการตั้งขึ้นมาชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน จะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์นี้หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า อันนี้คงเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ ที่สามารถตั้งผู้ที่จะเป็นโฆษกอธิบายได้ ซึ่งวันนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศ และนายพงศ์เทพ ได้มีการประชุมหารือกันอย่างต่อเนื่องกับทีมที่ปรึกษาต่างประเทศอยู่แล้ว และเมื่อมีวาระสำคัญที่จำเป็นต้องตัดสินใจ คงต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกรัฐสภารับทราบ และได้ชี้แจงข้อคิดเห็นต่างๆ เพราะถือว่าเป็นวาระที่ทุกคนต้องร่วมกันคิด
    พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวว่ารัฐบาล, กระทรวงการต่างประเทศ และทหาร ต่างก็ทำหน้าที่ตนเอง โดยแบ่งหน้าที่กันทำ ไม่ใช่ไม่มีใครไม่ทำ แต่อย่าทำให้เป็นเรื่องการเมือง แต่เรื่องทำความเข้าใจกับกลุ่มมวลชนที่จะออกมาเคลื่อนไหวนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของทหาร เพราะทหารทำหน้าที่ของตนเองในการดูแลพื้นที่ ซึ่งตนมีหลักการในการดูแลตามกติกา หน้าที่ กฎหมาย และขอบเขตแผนที่ที่เรามีอยู่
    เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่ากองทัพจะเป็นหลักในการดูแล ไม่ให้มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางทะเลตามที่มีข่าว พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ใช่หน้าที่ของกองทัพ และไม่ใช่หน้าที่ของตนที่จะออกมายืนยัน เพราะหน้าที่ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของ 1.ฝ่ายบริหารมีหน้าที่ดำเนินการอะไร และ 2.ฝ่ายความมั่นคงมีหน้าที่ดำเนินการอะไร ทั้งสองฝ่ายต้องร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหา คือเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายและกติกาที่มีอยู่ 
    "ผมคงจะไม่พูดว่าจะเอื้อประโยชน์อะไรให้กับใคร ซึ่งไม่ได้เป็นการปกป้อง และไม่ได้ปัดความรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น วันนี้ลูกน้องของผมก็เสี่ยงชีวิตยืนหยัดอยู่ตลอดแนวชายแดน ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็มีทหารอยู่เสมอ และขณะนี้ก็มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนมาช่วยกันดูแล” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    ต่อข้อถามที่ว่า สามารถประเมินสถานการณ์ได้หรือไม่ว่า ขณะนี้มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ และไม่มีการประเมิน ส่วนการเตรียมพร้อมดูแลอธิปไตยนั้น การปฏิบัติการของทุกกองกำลังมีอยู่แล้วทุกพื้นที่ มีพื้นที่หลายพื้นที่ที่ไม่ชัดเจนเรื่องตามกติกาของเจบีซี แต่ก็มีการพูดคุยกันมาตลอด ไม่มีการขัดแย้ง ทุกพื้นที่มีการเตรียมการ ทั้งเรื่องการใช้กำลัง การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน และการจัดตั้งหมู่บ้านคู่ขนานตามแนวชายแดน เป็นสิ่งที่เราต้องการลดปัญหาบริเวณชายแดน
    ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภาที่มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 เป็นประธาน โดยก่อนเข้าสู่วาระการประชุมได้เปิดโอกาสให้สมาชิกหารือ โดย พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่าประเด็นการแถลงปิดคดีเขาพระวิหารต่อศาลโลก ตามที่ประเทศกัมพูชาได้ยื่นฟ้องต่อศาลโลก ขณะนี้พบว่ามีบุคคลและกลุ่มบุคคลให้ความเห็นทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่มีทั้งการสนับสนุนและคัดค้าน ซึ่งล้วนแล้วมีความปรารถนาดี
    ทั้งนี้ การให้ข้อเท็จจริงและแง่มุมกฎหมายต่อสาธารณะดังกล่าว จะมีผลต่อรูปคดีที่ไทยเสียเปรียบ ดังนั้น ตนขอเสนอให้รัฐบาลใช้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) รวบรวมข้อเสนอแนะต่อการเตรียมการแถลงปิดคดีปราสาทพระวิหารต่อศาลโลก ตามที่รัฐบาลและนายกฯ มีอำนาจตามกฎหมายสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพราะเชื่อว่าหากใช้เวทีสภาความมั่นคงฯ นั้น จะทำให้เกิดการยอมรับจากทุกฝ่าย
    นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกมาระบุว่า การที่รัฐบาลไม่ไปศาลโลกและไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก ซึ่งถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในประเทศไทย ก็อาจจะเป็นข้ออ้างที่ทำให้องค์การสหประชาชาติ หรือ UN ยกกำลังทหารเข้ามาในประเทศไทยได้นั้น ว่า ตนไม่รู้ว่าทำไมวันนี้นายสุรพงษ์จึงสนใจ UN มาก นึกว่าไม่ใช่พ่อหรือไม่ใช่ปู่ ซึ่งประเด็นเรื่องศาลโลกนั้นก็คงต้องไปดูว่าขอบเขตเป็นอย่างไร แล้วก็ไปดูประวัติของการตัดสินของศาลโลกในเรื่องซึ่งเกี่ยวข้องกับอธิปไตย ว่าการปฏิบัติของประเทศต่างๆ เป็นอย่างไร ซึ่งเราก็ไปต่อสู้ให้ดีที่สุด 
    "เพราะฉะนั้น นายสุรพงษ์ก็ต้องไปทำให้ชนะคดี ปัญหาก็ไม่เกิด และต้องอย่าให้คนสงสัยว่าสู้จริงหรือเปล่า เพราะท่าทางนายสุรพงษ์มีความรู้สึกว่า  ถ้ามันแพ้ก็จะโยนความผิดให้กับคนอื่น และที่สำคัญ รัฐบาลไปสนใจเรื่องของผลประโยชน์ในเรื่องทะเลมากเกินไปหรือไม่” นายอภิสิทธิ์กล่าว
    น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานที่ปรึกษาแนวร่วมคนไทยหัวใจรักชาติรักแผ่นดิน กล่าวในรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ทางสถานีวิทยุคลื่นเอฟเอ็ม 97 เมกะเฮิรตซ์ ว่ากรณีปราสาทพระวิหารจะทำให้คนไทยแต่ละกลุ่มออกมาต่อสู้ในปัญหาเดียวกันในไม่ช้านี้ ตนหวังพึ่งประชาชนทุกกลุ่ม ที่พร้อมออกมาอาสาปกป้องชาติและแผ่นดิน โดยวันที่ 8 ม.ค.นี้ แกนนำพันธมิตรฯ จะยื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี 
    ส่วนวันที่ 14 ม.ค.นี้ ตัวแทนแนวร่วมคนไทยฯ จะยื่นหนังสือประท้วงไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก จากนั้นวันที่ 21 ม.ค. จะนัดชุมนุมและยื่นหนังสือถึงผู้นำเหล่าทัพและประธานศาลฎีกา หลังจากที่ได้รวบรวมรายชื่อคนไทยกว่า 5 แสนคน ที่มีมติว่ายอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ และขอให้กระบวนการยุติธรรมและความมั่นคงควรหยุดคิดและหาทางช่วยเหลือเรื่องนี้
    ถามว่า จะชุมนุมต่อเลยหลังการยื่นหนังสือแล้วหรือไม่ น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ยังตอบอะไรไม่ได้ เพราะต้องดูสถานการณ์และคนที่มาชุมนุม คนไทยต้องไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก เพราะไทยได้ออกจากภาคีนี้นานแล้ว แต่นักการเมืองบางคนนำกลับเข้าไปอีก คนไทยจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการของรัฐบาลในกรณีนี้     
    เมื่อถามว่า แสดงว่าต้องการให้ตุลาการภิวัฒน์กลับมา และรวมทั้งอยากให้ทหารมาหยุดรัฐบาลอีกครั้ง น.ต.ประสงค์กล่าวว่า "วิเคราะห์ได้อย่างนั้น หน้าที่ของทหารนั้นก็อ่านได้ในรัฐธรรมนูญ พวกผมจะไปบอกกับ 2 กลุ่มนี้ว่ามีหน้าที่อะไรบ้าง”
    นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ กล่าวถึงกรณีปราสาทพระวิหารว่า รัฐบาลต้องเปิดเผยข้อมูลการไปสู้คดีในศาลโลก เพราะศาลไม่ได้ห้าม และประเทศกัมพูชาเองเขาก็เปิดเผยได้ รัฐควรรีบนำข้อสงวนสิทธิ์ที่เคยทำกับยูเอ็น ในการเรียกตัวปราสาทคืนจากเขมร วิธีนี้จะสามารถแก้เกมกับเขมรได้ในขณะนี้  
     "เพราะที่ผ่านมา ประเทศกัมพูชามักจะระบุว่าไทยไม่ยอมใช้สิทธิ์ ข้อสงวนสิทธิ์นี้เองที่สำคัญ กัมพูชากลัวที่ไทยจะใช้ข้อสงวนสิทธิ์นี้ เนื่องจากรัฐบาลไทยในสมัยนั้นได้ส่งหนังสือไปยังเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อประท้วงคำพิพากษาของศาลโลก โดยอ้างว่าคำพิพากษานั้นขัดต่อกฎหมายและความยุติธรรม นอกจากนี้ ยังสงวนสิทธิ์ที่ประเทศไทยจะเรียกร้องปราสาทพระวิหารกลับคืนในอนาคตด้วย เพื่อกั้นรั้งไว้ในการต่อสู้ตามกระบวนการทางกฎหมาย ในอนาคต แต่ขณะนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ยอมเรียกคืนข้อสงวนสิทธิ์ดังกล่าว เ พราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์" นายเทพมนตรีกล่าว  
     นายเทพมนตรีกล่าวว่า ในเร็วๆ นี้จะมีการเคลื่อนไหวยกเลิกเอ็มโอยู 43 ซึ่งจะเป็นแนวทางทางการเมืองมากกว่าการเคลื่อนไหวชุมนุมประท้วง.

บันทึกหน้า 4 / จอบเบิ่ง บันทึกหน้า 4 8 January 2556 -


บันทึกหน้า 4 / จอบเบิ่ง



ไทยโพสต์ “อิสรภาพแห่งความคิด” www.thaipost.net...เริ่มเข้าสู่ปี “งูเล็ก” ให้หายเหนื่อยได้ไม่ทันไร อุณหภูมิทางการเมืองก็กลับมาร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะกับปมเงื่อน “ปราสาทพระวิหาร” ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) เตรียมจะตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 เกี่ยวกับเรื่องเขตแดนให้ชัดเจน ช่วงกลางปีนี้ ...๐ ขณะที่แนวโน้มมีความเป็นไปได้ที่ประเทศ "ไทย" กำลังจะสูญเสียพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร โดยรอบปราสาทพระวิหารไปให้แก่ "กัมพูชา" ท่ามกลางกระแสข่าวข่าวลือหึ่งจากแดนไกล เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างพื้นที่เขาพระวิหาร และพื้นที่ผลประโยชน์บริเวณอ่าวไทย โดยทาง “ปึ้ง” สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ ได้กล่าวถึงการเดินทางไปชี้แจงด้วยวาจารอบสุดท้ายต่อองค์คณะศาลโลกช่วงเดือน เม.ย.แบบงงๆ ว่า “มั่นใจว่าโอกาสชนะมีมาก แต่ก็ต้องเผื่อใจไว้ด้วย” พร้อมทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์ตระกูลนายใหญ่ ด้วยการวอนขออย่าให้นำปมปัญหานี้ เพื่อเป็นข้ออ้างในการขับไล่รัฐบาลแม้จะห้ามปรามอย่างไร ก็ดูจะไม่เข้าหูกลุ่มขั้วขัดแย้งของรัฐบาลสักเท่าไหร่ ที่ต่างพากัน “ปัดฝุ่น” เตรียมออกมาแสดงพลังกดดันทันที เริ่มด้วยกลุ่ม “เสื้อเหลือง” พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่เตรียมบุกทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือต่อ “ปูกรรเชียง” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้รัฐบาลประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก และไม่ปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราว รวมถึงไม่กลับเข้าไปเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกอีก …๐ ส่วนกลุ่มแนวร่วมคนไทยรักชาติ รักษาแผ่นดิน (นทด.) ที่มี "ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์" และ "พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน" ทำหน้าที่เป็นแกนนำ และมี “ซีไอเอสงค์” น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ นั่งหลบฉากเป็นแบ็กอัพอยู่ด้านหลัง ก็เตรียมจะเดินทางไปยื่นฟ้องกระทรวงการต่างประเทศต่อศาลอาญา ในวันจันทร์ที่ 14 ม.ค.นี้ เนื่องจากมีการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จกรณีไทย–กัมพูชาต่อสาธารณชน ก่อนจะนัดชุมนุมใหญ่ในวันจันทร์ที่ 21 ม.ค. ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ก่อนจะเดินขบวนไปยังที่ทำการศาลฎีกา เพื่อยื่นรายชื่อประชาชนร่วมแสนที่เห็นด้วย ที่ไม่ยอมรับอำนาจศาลต่อไป …๐ เรียกได้ว่างานนี้คงจะเป็น “ศึกใหญ่” ที่รัฐบาลต้องหากลยุทธ์ต่างๆ มาตั้งรับ ยิ่งการที่คนหน้าเก่าอย่าง “ซีไอเอสงค์” ออกมาวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ช่วงนี้ จะเป็น “ขาลง” ของรัฐบาลที่แสน “สุกงอม” เหลือเกินสำหรับแก๊งเลื่อยขาเก้าอี้รัฐบาล พร้อมแย้มแบบให้คิดต่อทำนองว่า หน้าที่ของทหารอ่านได้ในรัฐธรรมนูญ...ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่รัฐบาลและคนแดนไกลจะประมาทไม่ได้อย่างเด็ดขาด ...๐ อีกหนึ่งเรื่องที่ร้อนแรงไม่แพ้ปมเขาพระวิหาร เห็นจะเป็นแนวทางของรัฐบาลในการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ กลุ่มพนักงานสอบสวนภาคอีสาน ได้ยื่นเรื่องคัดค้านการจับสลากลงไปปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ แต่ท้ายที่สุดก็จบลงที่มีผู้สมัครใจกันล้นโควตาจนน่าชื่นชม โดยเหลือโควตาให้เสี่ยงโชคจับสลากเพียงแค่ 3 รายเท่านั้น ในพื้นที่ บช.ภ.8 แต่ก็มีข่าวลือแว่วมาว่า งานนี้หลังจากที่ “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ออกอาการ “ปรี๊ดแตก” ส่งผลให้แต่ละกองบัญชาการ ต้องใช้กลยุทธ์ “ลงขัน” กองทุนสนับสนุนพนักงานสอบสวนบางรายให้เซ็นชื่อสมัครใจลงไปปฏิบัติหน้าที่ดับไฟใต้ซะงั้น ...๐ ขณะเดียวกันเมื่อวันจันทร์ที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา ทาง “สารวัตรเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) เดินทางไปยังศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ เข้าพบจุฬาราชมนตรี เพื่อหารือถึงแนวทางแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้ของ ร.ต.อ.เฉลิม ได้มีการบันทึกเทปโทรทัศน์เป็นภาษายาวีเกี่ยวกับแนวคิดและการแก้ปัญหาความไม่สงบของรัฐบาล ที่จะออกอากาศทาง ช่อง ศอ.บต. เพื่อหวังทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวถือว่าอยู่ในระดับน่าสนใจ แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่า ประชาชนในพื้นที่ที่ “อาเหลิม” คาดหวัง จะมาจดจ่อดูบันทึกเทปดังกล่าวหรือไม่ ฉะนั้นก็ได้แต่หวังว่า “ใครบางคน” จะลงศึกษาปัญหาในพื้นที่ด้วย “ตาตัวเอง” อย่างจริงจังเสียที ..๐ นอกจากนี้ “ดร.เหลิม” ยังเปิดเผยถึงการเดินทางไปประเทศมาเลเซีย ในช่วงวันที่ 8–10 ม.ค.นี้ โดยมีหัวข้อหลักในการเจรจา คือ เรื่องใบรับรองเข้าไปทำงานที่มาเลเซีย สำหรับประชาชนในจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อหวังใช้กลยุทธ์ “สร้างงาน” ลดกลุ่มที่ถูกชักจูงให้ร่วมขบวนก่อเหตุรุนแรง ก็หวังว่ากลยุทธ์ของรองนายกฯ จะประสบผลสำเร็จได้ดั่งใจหมาย โดยเฉพาะการแก้ปัญหาน้ำมันเถื่อน ซึ่งครั้งหนึ่งเจ้าตัวเคยฟันธงว่าเป็นปัจจัยเงินทุนของกลุ่มก่อความไม่สงบ ถึงขั้นต้องส่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่าง“ดวง อยู่บำรุง” ที่เพิ่งจะโอนจากเครื่องแบบทหารมาใส่ยูนิฟอร์มสีกากีด้วยยศ “ร.ต.ท.” ไปนั่งเก้าอี้รองหัวหน้าชุดปฏิบัติการส่วนกลาง ศูนย์ปฏิบัติการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ปนม.ตร.) ทันที งานนี้ฟันธงว่า “อิ่มแปล้” แน่นอน (อิอิ)…๐

ทักษิณคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อไทยทำให้คนโกงกลับมา เมื่อ 7 ม.ค.56



ความจริงเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่า รัฐบาลเพื่อไทย มีวัตถุประสงค์อะไรในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และต้องการให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร แม้ก่อนหน้านี้พยายามปกปิดความต้องการ โดยอ้างว่า สภาร่างรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ยกร่างเอง โดยที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยเสียงข้างมากในสภา มีหน้าที่เพียงแก้ไขมาตรา 291 เพื่อให้มี ส.ส.ร.เท่านั้น 
    การตั้ง ส.ส.ร.เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น ถือเป็นสถานการณ์ที่เป็นกรณีเฉพาะ เช่นสังคมตกผลึกร่วมกันว่าจะต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เช่นการเกิดของรัฐธรรมนูญ 2540 หรือแม้กระทั่งการเกิดของรัฐธรรมนูญหลังการรัฐประหาร เช่นรัฐธรรมนูญ 2550 ล้วนเป็นกรณีเฉพาะ แต่ความต้องการรัฐธรรมนูญใหม่ภายใต้บรรยากาศความขัดแย้งทางการเมืองสูงนั้น มิใช่ความต้องการของประชาชนแม้แต่น้อย แต่เป็นความอยากเฉพาะนักการเมืองเท่านั้น 
    ขณะที่วิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่ลงตัว แต่เนื้อหาเริ่มจะลงตัวแล้วว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะแก้ไขมาตราใด หมวดใด เพื่ออะไรบ้าง จริงอยู่อาจอ้างได้ว่า ที่ต้องพิจารณาว่าจะแก้ไขมาตราใดบ้าง เพราะสุดท้ายแล้วอาจเลือกแก้ไขโดยรัฐสภา ผิดกับการตั้ง ส.ส.ร.ที่ยกร่างทั้งฉบับ และรัฐสภามีหน้าที่แค่โหวตรับหรือไม่รับเท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปกำหนดเนื้อหาการแก้ไขได้ 
    ข้ออ้างดังกล่าวมีการนำมาใช้บ่อยครั้ง แต่ซ่อนเงื่อนไว้มากมาย เพราะสุดท้ายแล้วการมี ส.ส.ร.อาจแก้เฉพาะบางมาตราหรือทั้งฉบับก็ได้ ฉะนั้น การที่รัฐบาลเพื่อไทยและเครือข่ายในรัฐสภาออกมาพูดถึงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญที่ต้องแก้ไข นั่นคือการส่งสัญญาณให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริง และโฉมหน้าที่แท้จริงของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าเป็นอย่างไร
    เรารับทราบไปแล้วว่า เนื้อหาที่เสนอโดยร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี นั้นมีอะไรบ้าง ทำลายระบบตรวจสอบอย่างไร มาถึงคิวของ คณะอนุกรรมการพิจารณาศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ สภาผู้แทนราษฎร  ที่มีนายโสภณ เพชรสว่าง แกนนำพรรคเพื่อไทย เป็นประธาน สรุปแนวทางแก้ไขออกมาตามที่คาดการณ์เอาไว้ 
    เสนอยุบศาลรัฐธรรมนูญ แล้วกลับไปใช้ตุลาการรัฐธรรมนูญให้มีอำนาจเพียงการตีความกฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ หรือการขัดกันระหว่างหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ไม่มีอำนาจตัดสินเรื่องของการยุบพรรค โดยที่มาของตุลาการรัฐธรรมนูญมาจากการคัดเลือกของรัฐสภา เหตุผลที่เสนอให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญ เพราะปัจจุบันศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจมากเกินไป นำไปสู่ตุลาการภิวัฒน์ ทำให้ถูกมองว่าศาลเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง จึงควรกลับไปสู่จุดเดิม โดยให้มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4-5 ปี
    ยกเลิกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยให้ศาลยุติธรรมเป็นผู้ทำหน้าที่ตัดสินคดีที่เกี่ยวกับการเมืองแทน เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลก ที่มีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงไม่เป็นธรรมในการตัดสินคดีที่ไม่สามารถอุทธรณ์ได้ และอาจจะมีการเมืองเข้ามาแทรกแซง จึงควรให้ศาลยุติธรรมเป็นผู้ตัดสิน และให้ยุบผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยให้ศาลปกครองเป็นผู้ทำหน้าที่แทน
    ลดอำนาจคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  จากเดิมหลังจากที่ ป.ป.ช.ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดฟ้องศาล หากอัยการสูงสุดมีความเห็นไม่สั่งฟ้อง ป.ป.ช. ก็สามารถยื่นฟ้องเองได้ โดยแก้ไขให้อำนาจการสั่งฟ้องอยู่ที่อัยการสูงสุดเท่านั้น ป.ป.ช.ไม่สามารถยื่นฟ้องได้
    ยกเลิกมาตรา 309 เพราะเป็นมาตราที่สนับสนุนการทำรัฐประหารโดยไม่มีความผิด จึงต้องยกเลิก เพื่อไม่ให้มีการทำรัฐประหาร โดยจะเขียนให้ชัดเจนว่าอำนาจที่ได้มาจากการรัฐประหารถือว่าเป็นการได้มาซึ่งอำนาจโดยมิชอบ แต่จะไม่มีผลย้อนหลังกับคดีความที่ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ตัดสินไปแล้ว ส่วนคดีที่ยังไม่ตัดสินก็ให้สู้คดีกันไป ไม่ได้เป็นการช่วยเหลือให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีพ้นผิด 
    นั้นคือหัวเชื้อที่นำเสนอกันออกมา ทุกประเด็นล้วนทำลายความเข้มแข็งของระบบตรวจสอบเพื่อนักโกงเมืองทั้งสิ้น ขณะที่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย การมุ่งกำหนดเอาว่าจะแก้ไขอะไร แต่ปากอ้างว่าแล้วแต่ ส.ส.ร. สภาไม่มีสิทธิชี้นำ เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยวิธีใด ผู้กำหนดประเด็นคือรัฐบาลเพื่อไทย และเมื่อพูดถึงสิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำ ก็ต้องเป็นสิ่งที่ทักษิณคิดเท่านั้น ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้เลย.

21 ม.ค.56 ม็อบนัดทวงอธิปไตย



กลุ่มคนไทยรักชาติฯ ดีเดย์ชุมนุมใหญ่ 21 ม.ค. - ล่า 1 ล้านรายชื่อต้านรับมติศาลโลก เตรียมฟ้องรัฐบาล - กต.เผยแพร่ข้อมูลเป็นเท็จ เหน็บเจ๊ ด. ยกลูกสาวให้นักการเมืองเขมร ด้าน ปชป.หนุนรัฐบาลสู้ต่อในศาล "นพดล” ปัดแถลงการณ์ร่วมทำให้เสียดินแดน ทั้งที่ยอมรับศาลปกครองชี้โมฆะทำให้อ้างอิงในศาลไม่ได้ ซัดกลับ สมัย "หม่อมเสนีย์" เสียตัวปราสาทให้เขมร     
    เมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค   กลุ่มแนวร่วมคนไทยรักชาติ รักษาแผ่นดิน และช่อง 13 สยามไท ร่วมกันจัดงานสัมมนาหักศอกนอกทำเนียบฯ หัวข้อ “ตั้งหลักประเทศไทย หยุดประชาธิปไตยสามานย์” ทั้งนี้ ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมคนไทยรักชาติ รักษาแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเตรียมตัดสินคดีปราสาทพระวิหารว่า ที่ผ่านมาทางกลุ่มได้ดำเนินการในหลายๆ หนทาง เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย ทว่าทางรัฐบาลยังคงนิ่งเฉย พร้อมกับปล่อยให้ข่าวคราวเงียบหายไปอย่างไม่สนใจอะไร โดยขณะนี้ทางรัฐบาลควรจะแสดงท่าทีแข็งกร้าว ด้วยการไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก และถอนตัวออกมาทันที เพื่อแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อเรื่องดังกล่าว 
    อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวคงเป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะปฏิบัติตามข้อเสนอของเรา เนื่องจากทราบว่ารัฐบาลได้ทำข้อตกลงเจบีซีและจีบีซีร่วมกับกัมพูชาตั้งแต่สมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ช่วงปี พ.ศ.2544 ซึ่งเป็นข้อตกลงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร และพื้นที่ทรัพยากรธรรมชาติบริเวณอ่าวไทย ซึ่งตรงนี้เราไม่สามารถแก้ไขใดๆ ได้แล้ว
"คนไทยรักชาติ" ค้านรับคำตัดสิน
     ม.ล.วัลย์วิภากล่าวต่อว่า เคยไปยื่นจำหน่ายคดีนี้ต่อศาลโลกเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.2555 และทางศาลโลกก็ได้รับเรื่องไว้แล้ว โดยที่ผ่านมาประชาชนจะเข้าใจถึงกรณีของศาลโลกว่าต้องเป็นเรื่องระหว่างรัฐต่อรัฐเท่านั้น ซึ่งถือว่าเราทำสำเร็จแม้จะไม่มีรัฐบาลช่วยหนุนหลัง โดยเอกสารความยาวกว่า 7 หน้าที่ยื่นต่อศาลโลกนั้น เนื้อหาระบุว่า ราชอาณาจักรไทยเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ และเคยเป็นภาคีศาลโลก ต่อมาเมื่อปี 2505 รัฐบาลไทยโดยฉันทามติของประชาชนชาวไทยเห็นว่าการดำเนินงานของศาลโลกไม่เป็นไปเพื่อความยุติธรรม ไม่เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่เคารพต่อความเป็นจริง และอยู่ภายใต้การครอบงำแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจ ได้กระทำการอันไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ยุติธรรม ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารซึ่งเป็นของไทยว่าเป็นของกัมพูชา
    ”ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงได้ถอนตัวออกจากการเป็นภาคีสมาชิกของศาลโลกนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ราชอาณาจักรไทยจึงไม่มีความเกี่ยวข้องผูกพันใดๆ กับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และศาลไม่มีเขตอำนาจหรืออำนาจใดในการพิจารณาพิพากษาเรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับราชอาณาจักรไทยอีก” ม.ล.วัลย์วิภากล่าว พร้อมระบุว่า หลังจากนี้ทางกลุ่มจะรวบรวมรายชื่อประชาชนที่เห็นด้วยว่าจะไม่รับคำตัดสินของศาลโลกให้ได้ 1 ล้านรายชื่อ เพื่อไปยื่นต่อประธานศาลฎีกาต่อไป
    ม.ล.วัลย์วิภากล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางการช่วยเหลือนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำประเทศกัมพูชานั้น ส่วนตัวมองว่าหากไทยไม่เสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร ก็จะสามารถช่วยเหลือบุคคลทั้งสองได้ เนื่องจากบุคคลทั้งคู่ถูกจับกุม เพราะกัมพูชามองว่าเป็นพื้นที่ของเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อทางนายวีระเลือกแนวทางยอมรับผิดเพื่อจะขออภัยโทษแล้วนั้น ก็ต้องยอมรับผลการตัดสินใจของนายวีระและครอบครัวต่อไป
ฟ้องรัฐบาล-ชุมนุมใหญ่ 21 ม.ค.
     นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำแนวร่วมคนไทยรักชาติ รักษาแผ่นดิน กล่าวว่า ทางกลุ่มจะไปยื่นฟ้องกล่าวหารัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศต่อศาลอาญา รัชดาฯ เนื่องจากเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จกรณีไทย-กัมพูชาต่อสาธารณชน และในวันที่ 21 ม.ค. ทางกลุ่มจะมีการนัดชุมนุมใหญ่เพื่อเดินขบวนยื่นหนังสือเรียกร้องพร้อมกับรายชื่อประชาชนที่เห็นด้วยต่อประธานศาลฎีกาและต่อผู้นำเหล่าทัพ โดยวันนี้มีรายชื่อประชาชนที่เห็นด้วยประมาณ 5.7 แสนรายชื่อ และคาดว่าภายในวันที่ 21 ม.ค.จะมีรายชื่อผู้เห็นด้วยประมาณ 1 ล้านรายชื่อ ทั้งนี้คาดว่าจะใช้สะพานมัฆวานรังสรรค์เป็นสถานที่นัดชุมนุม  เริ่มตั้งแต่เวลา 13.00 น.
    ขณะที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวว่า อยากตั้งข้อสังเกตถึงเจ๊ ด. ที่ก่อนหน้านี้ 2 เดือนบอกว่าไม่ให้ลูกสาวแต่งงานกับนักการเมืองกัมพูชา แต่ผ่านไปไม่นานก็กลับยกลูกสาวให้เขาไป ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับกรณีนี้หรือไม่ 
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้มีข้อความบนป้ายขนาดใหญ่ติดตั้งอยู่ริมถนนสายกันทรลักษ์-น้ำยืน บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 10 จากสามแยกบ้านภูมิซรอลไปทาง อ.น้ำยืน ข้อความว่า "หมู่บ้านสมัชชาธรรมยาตราพิทักษ์สยาม ทวงคืนเขาพระวิหาร  มณฑลบูรพา โดยอนุสัญญาโตเกียว ค.ศ.1941" เพื่อแสดงให้เห็นถึงการขับเคลื่อนกรณีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกจะมีการพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในเดือน เม.ย.56 นี้ ขณะเดียวกัน ที่บ้านของนายผัน กิ่งแสง บ้านโศกขามป้อม ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ มีการจัดตั้งเวทีขนาดใหญ่ เพื่อให้เป็นศูนย์ประสานงานในการขับเคลื่อนกรณีดังกล่าว โดยนายผันกล่าวว่า เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนต้องออกมาร่วมกันในการทวงคืน ทั้งนี้ ตนได้รับการประสานงานมาว่ากลุ่มพลังมวลชนจากกรุงเทพฯ จะมาร่วมกันเคลื่อนไหวด้วย ก่อนที่ตนจะประสานงานกับชุมชนศีรษะอโศกเพื่อขอสนับสนุนอาหาร 
ปชป.หนุน กต.สู้ศาลโลก
    นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ ระบุถึงการต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารในศาลโลกนั้น ไทยมีแต่เสมอตัวหรือแพ้ว่า เป็นการแสดงออกที่ชัดเจนว่ายอมจำนน แม้ต่อมาหลังถูกวิจารณ์นายสุรพงษ์จะมีการแก้ข่าวว่าจะต่อสู้อย่างเต็มที่ และนำทีมไปต่อสู้คดีด้วยตัวเอง แต่ก็สะท้อนพฤติการณ์ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.การต่างประเทศ ว่าไม่มีจุดยืน ทั้งนี้ การที่นายสุรพงษ์เปลี่ยนท่าทีว่าจะเป็นตัวแทนรัฐบาลเป็นผู้นำต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารนั้น ตนเห็นว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง โดยต้องเป็นผู้นำในการวางแผนต่อสู้คดีให้ชนะ และเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ไม่ใช่ไปจ้องหน้าให้นายฮอร์ นัมฮง รมว.การต่างประเทศของกัมพูชาเสียสมาธิเพียงอย่างเดียว 
     นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายสุรพงษ์เตรียมฟ้องร้องบุคคลที่พูดพาดพิงว่า รัฐบาลแลกเปลี่ยนพื้นที่ปราสาทพระวิหารกับผลประโยชน์ทางทะเลว่า นายสุรพงษ์จะต้องสร้างความมั่นใจในการเดินหน้าต่อสู้คดี และชี้แจงข้อสงสัยทั้งหลาย เกิดจากการแสดงออกทำนองที่เหมือนจะแพ้คดี อีกทั้งการเดินหน้าเจรจาพื้นที่ทางทะเลก็ต้องพูดให้ชัดว่ารัฐบาลดำเนินการหรือไม่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของประชาชนที่มีสิทธิ์ที่จะรู้และตรวจสอบ ทั้งนี้ ไม่กังวลที่จะมีการฟ้องร้อง เพราะตั้งคำถามที่อยู่บนพื้นฐานข้อมูลบนความสุจริตและปกป้องประโยชน์สาธารณะ 
    ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า รู้สึกสลดใจกับความพยายามของนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่บิดเบือนใส่ร้ายอย่างต่อเนื่องว่า เป็นเพราะตนไปทำคำแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชา จึงทำให้กัมพูชาได้สิทธิ์ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ตั้งแต่สมัย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และเป็นอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตามที่ศาลโลกตัดสิน
นพดลชี้ "ปราสาท" เป็นของเขมร 
    "เมื่อเขาเป็นเจ้าของปราสาท เขาจึงมีสิทธิ์นำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยไม่จำเป็นต้องมีคำแถลงการณ์ร่วม แต่ที่ต้องทำแถลงการณ์ร่วม เพราะในปี 2549 ก่อนที่พวกผมเข้ารับตำแหน่ง กัมพูชายื่นคำขอขึ้นทะเบียน 1.ตัวปราสาทพระวิหาร 2.พื้นที่ทับซ้อนเป็นมรดกโลก แต่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และผม เป็นคนเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และขึ้นทะเบียนได้เฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น โดยกัมพูชายอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออก ตามที่ระบุในข้อ 9 ของมติคณะกรรมการมรดกโลกที่ประชุมที่ประเทศแคนาดาในวันที่ 7 ก.ค.51 อยากให้พรรคการเมืองและคนไทยทุกกลุ่มเลิกใช้ความเท็จและหันมาผนึกกำลังกันต่อสู้คดีที่อยู่ในศาลโลก น่าจะมีประโยชน์มากกว่ามาโทษกันไปมาและบิดเบือนใส่ร้ายเพื่อหวังผลการเมือง" นายนพดลระบุ 
     นายนพดลกล่าวว่า คดีที่กำลังพิจารณาอยู่ในศาลโลกเป็นการตีความคำตัดสินของศาลโลกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ไม่ใช่คดีใหม่ ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชามา 50 ปีแล้ว และคดีนี้เป็นคนละเรื่องกับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกที่กัมพูชาขึ้นทะเบียนตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกไปตั้งแต่ปี 2551 แล้ว ทั้งนี้กัมพูชาไม่สามารถนำคำแถลงการณ์ร่วมไปใช้ประกอบในการขึ้นทะเบียนปราสาทเป็นมรดกโลก เพราะศาลปกครองได้ตัดสินว่าคำแถลงการณ์ร่วมเป็นโมฆะและไร้ผล รวมทั้งห้ามนำไปอ้างอิงใดๆ และมีการรับรองและระบุชัดเจนในข้อมติของคณะกรรมการมรดกโลกในวันที่ 7 ก.ค.51 ข้อ 5 ว่า ให้ตัดคำแถลงการณ์ร่วมออกจากการพิจารณาว่าจะขึ้นทะเบียนตัวปราสาทหรือไม่ ตามที่ศาลปกครองไทยตัดสิน อีกทั้งไทยและกัมพูชายอมรับว่าแถลงการณ์ร่วมสิ้นผลไปแล้ว ตามหนังสือที่นายเตช บุนนาค รมว.การต่างประเทศขณะนั้น แจ้งไปยังกัมพูชา.

‘หนูไม่รู้’แบนละครเหนือเมฆ เมื่อ 7 ม.ค.56



"ปู" ปรี๊ดถูกซักเสียงวิจารณ์รัฐบาลสั่งแบนเหนือเมฆ 2 ปัดไม่รู้เรื่อง "กสท." ยังไม่ชี้ละครขัด ม.37 หรือไม่ อ้างเรื่องอ่อนไหว โยนอนุ กก.ดูแลเนื้อหาตรวจสอบก่อนเสนอบอร์ดใหม่ 14 ม.ค. ด้านมือดีแฮ็กเว็บช่อง 3 โพสต์ "เหนือเมฆข้าอยู่ไหน" ส.ว.จี้ ป.ป.ช.-กรรมการสิทธิฯ ผู้ตรวจการแผ่นดินเข้าตรวจสอบ "อ.จุฬาฯ" ปลุกกระแสบอยคอตไม่ดู ไม่ซื้อ ไม่ไลค์ โพลชี้ ปชช.เชื่อการเมืองโยงเบื้องหลัง สื่อนอกร่วมเสนอข่าวอื้อ 
    ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวหรือความชัดเจนจากสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 หรือผู้ที่เกี่ยวข้องใดๆ ออกมาชี้แจง ถึงสาเหตุการถอดละครเหนือเมฆ 2 แม้จะผ่านมา 4-5 วันแล้ว นับตั้งแต่มีการถอดละครเรื่องดังกล่าวอย่างฉับพลันจากผังรายการตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา
    โดยเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรัฐบาลสั่งแบนละครเหนือเมฆ 2 พร้อมทั้งรีบเดินออกจากวงสัมภาษณ์ของผู้สื่อข่าวที่ทางขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล อย่างรีบเร่ง
    "พอแล้วนะคะ พอแล้วนะคะ พอแล้วเนอะ (เสียงสูง) เดี๋ยวต้องไปรับแขกต่อ" 
    เมื่อผู้สื่อข่าวได้ถามอีกครั้งว่า นายกรัฐมนตรีจะไม่ชี้แจงเรื่องละครเหนือเมฆ 2 หน่อยหรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์หันกลับมาและกล่าวเพียงว่า ไม่รู้เรื่อง พร้อมกับส่ายศีรษะและเดินเข้าไปภายในตึกไทยคู่ฟ้าทันที
    ขณะที่ น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ตนเป็นผู้สั่งให้สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ระงับการออกอากาศละครเรื่องเหนือเมฆ 2 ว่า ไม่เคยไปสั่งการใดๆ และไม่ขอยอมรับฉายาที่ตั้งให้ตนว่าเป็นหอยม่วง ซึ่งตนไม่รู้ว่าละครเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างไร แต่มีคนโทรศัพท์มาถามถึงละครเรื่องดังกล่าวที่ระงับการออกอากาศ ตนขอย้ำว่าไม่เคยสั่งการใดๆ แม้จะเป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่ดูแล อสมท และดูแลกรมประชาสัมพันธ์ 
    ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือ กสท. เป็นประธานประชุมบอร์ด กสท. โดยมีการนำกรณีละครเหนือเมฆ 2 ที่ถูกระงับการออกอากาศทางช่อง 3 เข้าหารือในวาระ
    พ.อ.นทีแถลงผลประชุมว่า กรณีละครเหนือเมฆ 2 เป็นเพียงวาระจรที่เสนอเข้ามาในที่ประชุม โดยเบื้องต้นยังไม่มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าว ที่ประชุมได้มอบหมายให้ทางอนุกรรมการด้านเนื้อหาและผังรายการไปรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวเนื่องกับด้านกฎหมาย เนื้อหาละคร หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องทุกด้าน เพื่อเสนอเข้าที่ประชุม กสท. ในวันที่ 14 ม.ค.นี้อีกครั้ง
    "การเรียกผู้บริหารทางช่อง 3 หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับละครมาให้ข้อมูลหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคณะอนุกรรมการเป็นผู้พิจารณา ซึ่งการพิจารณาทุกครั้งข้อมูลจะต้องครบถ้วน เบื้องต้นทางคณะกรรมการ กสท.ยังไม่ทราบรายละเอียดในเรื่องดังกล่าว จึงไม่สามารถชี้แจงว่าการดำเนินการถอดละครออกออกไปนั้นผิดกฎหมาย หรือจะผิดมาตรา 37 พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 หรือไม่ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอ่อนไหวมาก จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ" ประธาน กสท.กล่าว
    วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเวลา 16.50 น. ได้มีแฮ็กเกอร์ที่ใช้ชื่อว่า Unlimited Hack Team ได้เข้าไปแฮ็กเว็บไซต์หลักของช่อง 3 ที่ www.thaitv3.comด้วยการโพสต์ข้อความว่า "เหนือเมฆข้าอยู่ไหน เมื่อพลังแห่งความชั่วร้ายกำลังคืบคลานเข้ามา พวกเราจะฟันฝ่าเอาชนะมันอย่างไร" บนแบนเนอร์โปรโมตละครเรื่องดังกล่าวเป็นระยะเวลานานเกือบ 20 นาที ก่อนที่ทางเว็บจะแก้ไขด้วยการดึงแบนเนอร์ละครเรื่องคุณสามีกำมะลอมาขึ้นแทน
    ในส่วนคนบันเทิงต่างก็โพสต์ข้อความให้กำลังใจละครเหนือเมฆ 2 มากมาย เช่น "พจน์ อานนท์" ที่โพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า “เข้าใจทีมงานเหนือเมฆ 2 เลย ไม่เป็นไรให้กำลังใจพี่นก พี่อุ๋ย ละครดีมีสาระดันถูกแบนไม่ให้ฉาย หรือเข้าถึงยุคฮิตเลอร์ซะแล้ว เฮ้อ เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย” ส่วน “ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน” ระบุว่า “คนดีซะอย่าง น้องเป็นแรงใจให้ค่ะพี่” เช่นเดียวกับ “โก๊ะตี๋ อารามบอย” โพสต์ข้อความว่า “ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจครับ” เป็นต้น
    ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 เป็นประธาน ก่อนเข้าสู่วาระการประชุมได้เปิดโอกาสให้สมาชิกหารือ ทางนายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา กล่าวถึงการแบนละครเรื่องเหนือเมฆ 2 ว่า ละครเหนือเมฆ 2 ได้ถูกตัดตอนเป็นที่เรียบร้อย จะเป็นฝีมือเหนือเมฆ ใต้เมฆ หรือของใครก็ตาม แต่ในสังคมออนไลน์จำนวนแสนๆ นั้นรุมต่อต้าน ไม่เห็นด้วยกับการยุติละครเรื่องดังกล่าว โดยที่กรรมการ กสทช. ยศนายพลรายหนึ่ง ได้ระบุเหตุผลว่า เพราะผิด พ.ร.บ.กสทช. มาตรา 37 ซึ่งเกี่ยวกับการล้มล้างการปกครอง ลามก อนาจาร และความมั่นคงของรัฐ ซึ่งเท่าที่ดูเนื้อหาละครถือว่าตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง 
    นายประสารกล่าวว่า ละครเรื่องอื่นๆ มีเนื้อหาส่อความรุนแรง หรือแม้กระทั่งกรณีไร่ส้ม ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดแล้ว แต่ยังออกอากาศได้โดยไม่ถูกยับยั้ง ละครเรื่องเหนือเมฆนี้ถือเป็นสิทธิเสรีภาพที่จะก้าวพ้นไปจากความกลัว หากนำกฎหมาย กสทช.มากล่าวอ้างว่าผิดเช่นนี้เท่ากับเอาความเกรงกลัวมาข่มขู่ การละเมิดสิทธิเสรีภาพบางทีก็ทำอย่างโจ๋งครึ่ม บางทีก็ทำอย่างแนบเนียน ผู้ที่รับผิดชอบอย่างผู้บริหารช่อง 3 ยังไม่ทันได้พูดอะไร แต่ก็มีคนที่เป็นกระบอกเสียงออกมาพูดแทนแล้วว่า ช่อง 3 บอกว่าผิดมาตรา 37 
    นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา เสริมว่า อยากฝากไปยังนายกรัฐมนตรี ประธาน กสทช. กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ตรวจการแผ่นดิน และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี การแบนละครเรื่องนี้เป็นการทำลายจิตใจพี่น้องประชาชนหลายล้าน ในโลกออนไลน์จำนวนล้านคลิปที่ไม่พอใจ และล่าสุดโพลระบุว่าไม่เชื่อว่ารัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นคิดว่าเป็นเรื่องของไอ้โม่ง ที่กล้าทำ แต่ไม่กล้ารับ ฉะนั้นรัฐบาลต้องแสดงความจริงใจ กสทช.ต้องมีหน้าที่ตรวจสอบ 
    "ละครมี 14 ตอน แต่ถูกบีบให้เหลือ 9 ตอนผ่าน กบว.ของช่อง 3 แล้ว แต่ถูกไอ้มือมืดโทร.ทางไกลจากไหนไม่ทราบ ให้เอาเทปออกให้ละครเรื่องอื่นเข้ามาแทน ถือเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ สิทธิการรับรู้ของประชาชนอย่างยิ่ง แต่มันคงแสลงใจนักการเมือง หรือถึงมีมือที่สามเข้าไปแทรก ดังนั้นขอให้ผู้มีหน้าที่ รวมทั้ง ป.ป.ช. เข้าไปตรวจสอบ และเสนอให้ ป.ป.ช.ควรจะมอบรางวัลช่อสะอาดให้ผู้สร้างละคร ผู้แสดงทั้งหมด ส่วนรัฐบาลไม่ต้องแถลง เพราะไม่มีใครเชื่อ แต่ควรนำเทปที่เหลือมาตรวจและนำออกอากาศ เรื่องจะได้จบ รัฐบาลกล้าทำก็ต้องกล้ารับ อย่าทำตัวเป็นอีแอบ" ส.ว.สรรหาผู้นี้ระบุ
    มีรายงานว่า ในวันที่ 8 ม.ค. คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เตรียมจัดเวทีเสวนาเรื่อง "บอกความจริงเรื่อง ‘เหนือเมฆ/2’: สงสารช่อง 3 หรือประชาชนดี" ในเวลา 13.30-15.30 น. ห้อง 1001 อาคารมงกุฎสมมติวงศ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยในกำหนดการมีชื่อของนายสมรักษ์ ณรงค์วิชัย ผู้จัดการฝ่ายผลิตรายการสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และนายนนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับภาพยนตร์ และผู้กำกับละคร “เหนือเมฆ 2” เข้าร่วมเสวนาด้วย
    น.ส.สุภาพร โพธิ์แก้ว หัวหน้าภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการระงับออกอากาศละครเหนือเมฆ 2 ว่า เป็นประเด็นของสังคมไทยถึงสิ่งที่เราต้องเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการใช้วิจารณญาณของเราเอง ข้อเท็จจริง เราไม่รู้ว่าช่องเขาอ่อนไหวอะไร ซึ่งมันสะท้อนการทำงานของสื่อและตกอยู่ในมือที่มองไม่เห็น พลังของผู้บริโภคอ่อนล้า และผู้บริหารสื่อไม่ได้ฟังเสียงของประชาชน 
    "ระหว่างทุนหรือการเมือง ไม่รู้ว่าตัวไหนกันแน่ที่เข้ามาเกี่ยวข้องที่เขาต้องระมัดระวังตัวเอง แล้วนำมาเป็นข้ออ้างมาตรา 37 เข้ามาเกี่ยวข้อง ฉะนั้นก็แสดงว่าต่อไปมาตรานี้ใช้อ้างเรื่องอะไรก็ได้ การดูแล กำกับตัวเองในการเซ็นเซอร์ตัวเองของสื่อในลักษณะนี้มันกระทบต่อเสรีภาพในการได้ใช้วิจารณญาณรับสื่อด้วยตัวเองในสิ่งที่สนใจ และหากเดินหน้าไปอย่างนี้เรื่อยๆ สถานการณ์จะนำไปสู่ประชาชนเสียผลประโยชน์" น.ส.สุภาพรกล่าว  
    หัวหน้าภาควิชาการสื่อสารมวลชนเรียกร้องว่า เราอยากยกระดับพลังปัจเจก ปฏิเสธไม่ดู ไม่ซื้อ ไม่กดไลค์ บอยคอต แต่ก็ไม่ค่อยเชื่อพลังการปฏิเสธจะเกิดขึ้นง่ายๆ เพราะคิดว่าเรายังคงต้องดู ต้องซื้อ ต้องใช้ แต่จริงๆ แล้วพลังปฏิเสธมีความสำคัญมากในทางออก เนื่องจากการใช้วิธีการโซเชียลมีเดียก็มีพลัง แต่ก็มีเพียงชั่ววูบเท่านั้น 
    ขณะที่นายสิงห์ สิงห์ขจร อาจารย์ประจำสาขาวิชาการประชาสัมพันธ์และการสื่อสารองค์การ ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการงดออกอากาศละครเรื่อง "เหนือเมฆ 2 มือปราบจอมขมังเวท" โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ ผ่านการส่ง Link ของแบบสอบถาม พบว่า ผู้ตอบคำถามส่วนใหญ่ร้อยละ 96 ไม่เห็นด้วยกับการงดออกอากาศละครเรื่องเหนือเมฆ 2 มีเพียงร้อยละ 2 ที่เห็นด้วย และร้อยละ 2 ที่ตอบไม่แน่ใจ 
    ที่น่าสนใจคือข้อถามที่ว่า ท่านคิดว่าการงดออกอากาศของละครเรื่อง เหนือเมฆ 2 มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือไม่ ปรากฏว่า ร้อยละ 77 ระบุว่า มีส่วนเกี่ยวข้อง มีเพียงร้อยละ 12 ที่ระบุ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และร้อยละ 11 บอกไม่แน่ใจ เมื่อถามว่า ท่านต้องการให้ช่อง 3 ออกอากาศละครเรื่องเหนือเมฆ 2 จนจบบริบูรณ์หรือไม่ ส่วนใหญ่ร้อยละ 96% บอกต้องการ ร้อยละ 2 บอกไม่ต้องการ และอีกร้อยละ 2 บอกไม่แน่ใจ 
    ด้านสำนักข่าวต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวอลสตรีทเจอร์นัล วอชิงตันโพสต์ เรดิโอออสเตรเลีย จาการ์ตาโพสต์ สำนักข่าวเอเอฟพี ต่างนำเสนอข่าวการยุติออกอากาศอย่างกะทันหันของ "เหนือเมฆ 2" ละครทางช่อง 3 จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกิดขึ้นในสังคมไทย
    สื่อต่างประเทศรายหนึ่งระบุว่า หลังเหตุการณ์เกิดขึ้น ได้มีกลุ่มผู้ชมออกมาเรียกร้องให้ช่อง 3 เผยแพร่ละครเรื่องนี้จนจบ ขณะที่บางส่วนได้เสนอมาตรการคว่ำบาตรสถานีโทรทัศน์ช่องนี้.

ทหารกัมพูชา80นายประชิดปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธมวันที่ 07 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 19:53 น. ข่าวสดออนไลน์



วันที่ 07 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 19:53 น.  ข่าวสดออนไลน์ 


ทหารกัมพูชา 80 นายประชิดปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธม 

 เมื่อ 7 ม.ค.56 แหล่งข่าวทางทหารจากชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สุรินทร์ เผยว่า ขณะนี้ที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านจ.สุรินทร์ ได้มีทหารกัมพูชา พร้อมอาวุธครบมือ จำนวน 80 นาย เดินเท้าชุดละ 40 นาย จาก อ.ปะอ๋อง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา โดยชุดแรกออกเดินทางเวลา 15.30 น. และชุดที่สองออกเดินทางเวลา 16.00 น. มาที่หลักเขตแดนที่ 17 ห่างจากตัวปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ประมาณ 10 กม. ขณะนี้ทหารไทย จากกองกำลังสุรนารี ได้วางกำลังตรึงเข้มตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แล้ว และฝ่ายปกครองได้แจ้งเตือนชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ให้ติดตามการแจ้งข่าวสารจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้านอย่างใกล้ชิด ห้ามออกจากเคหะสถานในเวลากลางคืน ให้งดเว้นการออกหาของป่าตามบริเวณตะเข็บชายแดนหวั่นได้รับผลกระทบ

“ประสงค์” รับหวังตุลาการภิวัฒน์-ทหารล้มรัฐบาล ป้องดินแดนที่จะถูกเขมรฮุบ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 มกราคม 2556 16:38 น

“ประสงค์” รับหวังตุลาการภิวัฒน์-ทหารล้มรัฐบาล ป้องดินแดนที่จะถูกเขมรฮุบ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์7 มกราคม 2556 16:38 น


“ประสงค์” ระบุ 21 ม.ค.ชุมนุมยื่นหนังสือประธานศาลฎีกา และผู้นำกองทัพ หาทางช่วยเหลือป้องกันรักษาอธิปไตย หลังเขมรฟ้องศาลโลกฮุบพื้นที่เขาพระวิหาร หวังตุลาการภิวัฒน์ และทหาร หยุดรัฐบาลที่ไม่รักษาดินแดนไทย
      
       น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานที่ปรึกษากลุ่มเเนวร่วมคนไทยหัวใจรักชาติรักเเผ่นดิน กล่าวในรายการอินไซด์ไทยแลนด์ ทางเอฟเอ็ม 97.0 เมกะเฮิรตซ์ โดยระบุถึงสถานการณ์เขาพระวิหารที่ตอนนี้ที่สถานการณ์เริ่มจะส่อเค้าความรุนเเรงทั้งในเเละนอกประเทศว่า กรณีนี้จะทำให้คนไทยแต่ละกลุ่มออกมาต่อสู้ในปัญหาเดียวกันในไม่ช้านี้ ตนหวังพึ่งประชาชนทุกกลุ่มที่พร้อมออกมาอาสาปกป้องชาติเเละเเผ่นดิน โดยวันที่ 8 ม.ค.นี้ เเกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จะยื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ส่วนวันที่ 14 ม.ค.ที่จะถึงนี้ ตัวเเทนเเนวร่วมคนไทยฯ จะยื่นหนังสือประท้วงไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ในการจัดการไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ หลังจากที่รัฐบาลไปทำให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว โดยยื่นศาลอาญาฟ้องรัฐบาลนี้ที่บริหารงานผิดพลาด
      
       จากนั้นวันที่ 21 ม.ค.จะนัดชุมนุมเเละยื่นหนังสือถึงผู้นำเหล่าทัพ เเละประธานศาลฎีกา หลังจากที่ได้รวบรวมรายชื่อคนไทยกว่า 5 เเสนคน ที่มีมติว่ายอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ เเละขอให้กระบวนการยุติธรรม เเละความมั่นคงควรหยุดคิดเเละหาทางช่วยเหลือเรื่องนี้ ส่วนจะชุมนุมต่อเลยหลังการยื่นหนังสือเเล้วหรือไม่นั้นยังตอบอะไรไม่ได้เพราะต้องดูสถานการณ์เเละคนที่มาชุมนุม คนไทยต้องไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก เพราะไทยได้ออกจากภาคีนี้นานเเล้ว เเต่นักการเมืองบางคนนำกลับเข้าไปอีก คนไทยจำนวนมากไม่เห็นด้วยต่อการดำเนินการของรัฐบาลในกรณีนี้
      
       เมื่อถามว่าเเสดงว่าต้องการให้ตุลาการภิวัฒน์กลับมาเเละรวมทั้งอยากให้ทหารมาหยุดรัฐบาลอีกครั้ง น.ต.ประสงค์กล่าวว่า วิเคราะห์ได้อย่างนั้น หน้าที่ของทหารนั้นก็อ่านได้ในรัฐธรรมนูญ พวกตนจะไปบอกกับ 2 กลุ่มนี้ว่ามีหน้าที่อะไรบ้าง

“ชวนนท์”ยันศาลรธน.สั่งแถลงการณ์ร่วมไทย–กัมพูชาเป็นโมฆะไม่มีผลสกัดเขมร วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2556 เวลา 12:08 น.



“ชวนนท์”ยันศาลรธน.สั่งแถลงการณ์ร่วมไทย–กัมพูชาเป็นโมฆะไม่มีผลสกัดเขมร

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2556 เวลา 12:08 น.
เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์  นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่ นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ออกมาปฏิเสธความรับผิดชอบในการลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย – กัมพูชา กรณีประสาทเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นการเปิดประตูบานสำคัญให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร โดยอ้างว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำสั่งให้แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นโมฆะ จึงไม่มีผลทำให้กัมพูชานำไปอ้างอิงสิทธิในการบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหารได้ ว่า สิ่งที่พูดขัดกันเอง คือ 1.นายนพดล ย้ำว่า ไม่ว่าจะมีแถลงการณ์หรือไม่ กัมพูชาก็สามารถขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้เพราะกัมพูชาเป็นเจ้าของพื้นที่ดังกล่าวอยู่แล้ว ตนอยากถามว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริงทำไมนายนพดล จึงไปลงนามร่วมในแถลงการณ์ร่วม และที่ผ่านมากัมพูชาก็พยายามที่จะจดทะเบียนประสาทเขาพระวิหารหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งมีการลงนามในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวในปี 2551 ให้กัมพูชาบริหารจัดการพื้นที่แต่เพียงผู้เดียว 2.การที่ระบุว่าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นโมฆะ ตนมองว่า แค่นั้นยังไม่จบ เพราะกัมพูชาไม่ได้ถอนเรื่องดังกล่าวออกเขาถือว่า มีการรับไปแล้วส่วนไทยจะว่าอย่างไร ถือเป็นเรื่องภายในของไทย ถ้านายนพดล อ้างว่า แถลงการณ์ร่วมเป็นประโยชน์ ทำไมเหตุการณ์ถึงบานปลายและทำไมกัมพูชาถึงจดทะเบียนได้ฝ่ายเดียว


นายชวนนท์ กล่าวว่า เหตุผลข้อ 3.การที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าแถลงการณ์ร่วมเป็นโมฆะ เพราะมีผลทำให้อาจมีการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศไทย จึงต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ก่อน แต่นายนพดล กลับเอาเรื่องนี้มาเป็นความภาคภูมิใจทั้งที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเขตแดน และเป็นเหตุที่กัมพูชานำไปอ้าง และขึ้นทะเบียนมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียวได้ นี่ไม่ใช่เรื่องการเมือง และคิดว่าปลายปีนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ และนายนพดล ควรล้างบาปเรื่องนี้ ด้วยการไปบอกให้นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ขยันต่อสู้กับกัมพูชาที่ศาลโลก ไม่ใช่มาแสดงความเป็นคนรักแผ่นดินเฉพาะกิจเช่นนี้  ช่วงเวลา 1 ปีครึ่งที่เป็นรัฐบาลไม่เห็นจะมีความตั้งใจแก้ปัญหาที่ก่อไว้เลย ฉะนั้นอยากให้รัฐบาลจริงใจมากกว่านี้

ดูกันจะๆ คนไม่เชื่อ ช่อง 3 ถอดละครเหนือเมฆ ไร้ใบสั่งการเมือง เพราะ? วันเสาร์ที่ 05 มกราคม 2013 เวลา 20:00 น. เขียนโดย isranews หมวด เรื่องเด่น




"..ก่อนหน้าที่ละครเรื่องนี้ จะถูกสั่งระงับการออกอากาศ มีกระแสข่าวหลุดออกมาว่า มีฝ่ายการเมืองซีกรัฐบาล ไปตกลงกับผู้บริหารช่อง 3 ให้มีการยุติออกอากาศละครในคืนวันที่ 4 มกราคม 2556 ทันที.."

      สร้างความตกตะลึงให้กับแฟนละครชาวไทย เป็นอย่างมาก สำหรับการตัดสินใจ ถอดละคร เรื่อง เหนือเมฆ 2 ตอน มือปราบจอมขมังเวทย์ ออกจากผังรายการแบบกะทันหัน ของสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 ในช่วงหัวค่ำวันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา 
      หลังจากที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้ ว่า มีคำสั่งลึกลับให้หั่นละครเรื่องนี้จาก 3 ตอนออกอากาศให้เหลือเพียง 1 ตอน เพื่อให้ละครจบลงภายในคืนวันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2556 จากกำหนดออกอากาศตอนสุดท้ายในคืนวันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม 2556 (จำนวน 12 ตอนจบ)
      ช่อง 3 ให้เหตุผลที่ชัดเจน ต่อสาธารณะชน ในการถอดละคร เรื่องนี้ ว่า “เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า มีเนื้อหาบางช่วงบางตอนไม่เหมาะสม กับการออกอากาศ” 
      พร้อมนำละครเรื่อง “แรงปรารถนา” ที่นำแสดงโดย ณเดชน์ คูกิมิยะ และคิมเบอร์ลี แอน เทียมสิริ มาออกอากาศแทน
      คำถามที่น่าสนใจคือ อะไรเห็นสาเหตุที่ทำให้ ช่อง 3 ตัดสินใจ ถอดละครเรื่อง เหนือเมฆ 2 ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นละครน้ำดีเรื่องหนึ่ง เนื้อหาดี ที่มีสาระ สอนเรื่องความดี ต้องชนะความชั่ว ออกจากแผงรายการ
      และนำละคร เรื่องแรงปรารถนา ที่มีเนื้อหาเน้น เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ผสมฉากตบตีแย่งชิงผู้ชาย มานำเสนอแทน 
      จากการตรวจสอบเนื้อหาละครเรื่อง เหนือเมฆ 2 ที่ออกอากาศไปแล้วจำนวน 9 ตอน เพื่อดูว่ามีเนื้อหาบางช่วงบางตอนไม่เหมาะสม กับการออกอากาศ ตามที่ ช่อง 3 ระบุไว้ในประกาศแจ้งระงับการออกอากาศละครเรื่องนี้ไว้หรือไม่ 
      พบข้อเท็จจริงดังนี้ 
      1. เนื้อหาละคร
      ละครเหนือเมฆ 2 เป็นเรื่องราวของนายตำรวจหนุ่ม ที่เอาจริงเอาจังกับการทำงาน และมีความซื่อสัตย์ ได้รับมอบหมายให้ติดตามหาวัตถุโบราณที่หายไป หลังจากเกิดอาชญากรรมอุกอาจปล้นศัสตราวุธโบราณ ในตำราคัมภีร์เทวาศัสตราวุธ โดยมีเพื่อนคู่หูเป็นจ่าตำรวจ ที่เชื่อและเล่นในทางไสยศาสตร์
      ขณะที่ตัวละครในบทบาทนายกรัฐมนตรี ผู้ยึดมั่นในธรรมาภิบาล ได้ประสบปัญหาบริหารงาน จำต้องแต่งตั้งนักการเมืองหนุ่มประวัติไม่โปร่งใสขึ้นมาบริหารงานแทน ซึ่งนักการเมืองหนุ่มดังกล่าวมีที่ปรึกษาเป็นจอมขมังเวทย์ ร่วมในการตัดสินใจทุกอย่าง และนักการเมืองผู้นี้คบหากับลูกสาวของเจ้าแม่ธุรกิจเครือข่ายอันดับหนึ่งที่ทรงอิทธิพลด้านเศรษฐกิจ จากปัญหาขัดแย้งการทำงานและแนวความคิดเรื่องคุณธรรมจริยธรรมที่แตกต่างกัน จึงมีการวางแผนลอบสังหารนายกรัฐมนตรี จนกลายเป็นเจ้าชายนิทรา
      ทุกอย่างดูเหมือนจะเข้าทางอำนาจมืด นักการเมืองหนุ่มได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี แม้จะมีผู้ล่วงรู้เบื้องหลังความเลวร้าย แต่ไม่สามารถเล่นงานบุคคลเหล่านั้นได้ แต่ด้วย "ศรัทธายึดมั่นในความดีงาม" กลุ่มคนที่ทำงานกับนายกรัฐมนตรีผู้นอนแน่นิ่งเป็นเจ้าชายนิทรา ได้ร่วมมือร่วมใจต่อต้านแผนชั่วร้ายหวังครอบครองประเทศ
      จากนั้น จู่โจมเข้าชิงตัวนายกรัฐมนตรี แต่ต้องเผชิญกับไสยเวทดำที่แกร่งกล้า จนทุกคนบอบช้ำ และทางฝ่ายผู้ครองอำนาจมืดได้นำศัสตราวุธโบราณ ที่รวบรวมมาทำพิธีสร้างพลังยิ่งใหญ่ในการครอบครองอาณาจักร แต่ด้วยจิตใจที่แข็งกล้าไม่ย่อท้อยังคงบุกเข้าทำลายพิธี และบทสรุปความชั่วร้ายได้พ่ายแพ้ด้วยพลังความดี
      2. ตำแหน่งตัวละคร
      ละครเหนือเมฆ 2 มีการนำตำแหน่งตัวละคร ที่มีอยู่จริงในสังคม มาใช้หรือเทียบเคียง อาทิ ดร.เมฆา ฐานรัฐ นายกรัฐมนตรี ซึ่งบริหารงานบ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทรา , ดร.แพรไพลิน ลูกสาวของเพชรแท้ เจ้าแม่ธุรกิจเครือข่ายอันดับหนึ่งที่ทรงอิทธิพลด้านเศรษฐกิจ ของเมืองไทย , จักร นักการเมืองหนุ่มที่มีประวัติไม่โปร่งใสเป็นรองนายกฯ , รวิ ที่ปรึกษาพิเศษของสำนักงานสอบสวนพิเศษ
      3. ฉากละคร
      ละครเหนือเมฆ 2 มีการจำลอง ฉากการเมืองหลายฉาก มานำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลงประชามติที่อิงถึงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ การขับเคี่ยว ชิงไหวชิงพริบเรื่องการเมืองหรือความละโมบโลภมาก รวมทั้งยังกล่าวถึงการให้สัมปทานธุรกิจดาวเทียม 
      อาทิ
      ฉากการประชุมครั้งหนึ่ง ที่ “จักร” เข้าไปแจ้งทุกคนว่าจะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ แทน ดร.เมฆา โดย จักร ได้ประกาศกร้าวกลางที่ประชุมว่า มาแจ้งให้ทราบ ไม่ได้มาขอความเห็น 
      หรือกรณี ที่ “จักร” ถูกปล่อยตัว จากเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะเส้นสายทางการเมือง ในข้อหาฆ่าคนตาย โดยมีผู้บริหารจากสำนักงานสอบสวนพิเศษ เป็นผู้วิ่งเต้น และคอยทำงานรับใช้ตามคำสั่งผู้มีอิทธิพลการเมืองอยู่หลังฉาก 
      4. บทพูดของตัวละคร
      ละครเหนือเมฆ 2 มีบทพูดของตัวละคร หลายตัว ที่มีลักษณะเป็น คำคม คติ สอนใจ 
      อาทิ
      "ที่จริงฉันก็เห็นด้วยว่าต้องมีดาวเทียมเพิ่ม แต่ไม่ใช่เวลานี้ ที่ปากท้องประชาชนกับการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด"(เหนือเมฆ#7)
      "ตัดถนน 8 เลนเข้าอุทยานแห่งชาติ ทำลายสิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่า มีแต่มนุษย์สมองฝ่อกว่าสัตว์เท่านั้นที่คิดได้" (เหนิอเมฆ#7)
      "ถ้ายังไม่เข้าใจความหมายของคำว่า คน ความดี ศีลธรรม และคุณธรรม อย่าเล่นการเมือง! เพราะมันจะทำให้สภาสกปรก ประเทศชาติล่มจม" (เหนือเมฆ#7)
      "ผมสัญญาว่าจะสร้างค่านิยมใหม่ให้กับสังคมไทย เราจะต้องทำทุกอย่างบนความถูกต้อง เที่ยงตรง หมดยุคการเมืองต่างตอบแทนแล้ว"(เหนือเมฆ ตอนที่ 26)
      "แนวคิดศรัทธาในการทำความดี จะถูกปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่น ค่านิยมของการทำดีเพื่อสังคมจะต้องคงอยู่ตลอดไป" (เหนือเมฆ ตอนที่ 20)
      "มีอำนาจ แต่ไม่รู้จักใช้อำนาจ ไม่เรียกว่าโง่ แล้วจะเรียกอะไร" (เหนือเมฆ ตอนที่ 7)
      "ท่อน้ำเลี้ยงของดอกเตอร์เมฆา คือศรัทธาของประชาชน ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อความสุขของประชาชน" (เหนือเมฆ ตอนที่7)
      "ฉันก็จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับความอยุติธรรม ตราบใดที่ดอกเตอร์เมฆายังมีชีวิตอยู่ จะไม่มีวันยอมให้คนชั่วคนเลวขึ้นมาเป็นใหญ่"(เหนือเมฆ ตอนที่5)
      (อ้างอิงจาก Timeline Twitter ของ แคน สาลิกา) 
      5. ผู้จัดละคร ทีมงานนักแสดง ผู้กำกับการแสดง 
      ละครเหนือเมฆ 2 ได้ชื่อว่าเป็นละครที่ระดมนักแสดงแถวหน้าของเมืองไทยไว้จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ฉัตรชัย เปล่งพานิช สินจัย เปล่งพานิช (ผู้จัดละคร) พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง นพพล โกมารชุน เพ็ญพักตร์ ศิริกุล ซึ่งไม่บ่อยครั้งที่นักแสดงเหล่านี้จะร่วมตัวแสดงละครเรื่องเดียวกัน 
      ขณะที่ผู้กำกับ คือ “อุ๋ย” นนทรีย์ นิมิบุตร ซึ่งมีผลงานกำกับภาพยนตร์และละคร ที่ได้รับความนิยมจำนวนมาก
      จากข้อมูลทั้งหมด ทำให้พอจะสรุปได้ว่า ละครเรื่อง เหนือเมฆ 2 ในภาพรวมถือได้ว่าเป็นละครที่มีคุณภาพเรื่องหนึ่งของ ช่อง 3 
      และที่สำคัญละครเรื่องนี้ ออกอากาศมาแล้ว จำนวน 9 ตอน หาก มีเนื้อหาไม่เหมาะสมจริง น่าจะถูกสั่งระงับการออกอากาศ หรือสั่งแก้ไขบทล่วงหน้าไปนานแล้ว 
      อย่างไรก็ตาม ภายหลังช่อง 3 ตัดสินใจระงับการออกอากาศละครเรื่อง เหนือเมฆ 2 สื่อมวลชน หลายสำนักได้พยายามติดต่อที่ผู้บริหาร ช่อง 3 เพื่อตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริง อาทิ นายสมรักษ์ ณรงค์วิชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายผลิตรายการ ไทยทีวีสีช่อง 3 
      แต่คำตอบที่ได้รับคือ “สำหรับเรื่องละครเหนือเมฆ 2 ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบอะไรได้ และยังไม่มีคำตอบให้ในตอนนี้” 
      เมื่อคำตอบที่ได้รับไม่ชัดเจนแบบนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่แฟนละครจะเข้าใจ ว่า สาเหตุที่แท้จริงการสั่งแบนละครเรื่องนี้ มาจากใบสั่งทางการเมือง 
      เพราะก่อนหน้าที่ละครเรื่องนี้ จะถูกสั่งระงับการออกอากาศ มีกระแสข่าวหลุดออกมาว่า มีฝ่ายการเมืองซีกรัฐบาล ไปตกลงกับผู้บริหารช่อง 3ให้ มีการยุติออกอากาศละครในคืนวันที่ 4 มกราคม 2556 ทันที
      โดยอ้างว่า ละครเรื่องนี้ทำลายภาพพจน์ของสถาบันการเมือง สร้างความแตกแยกและทำลายบรรยากาศความปรองดอง? 
      ขณะที่สถานะของ ช่อง 3 ก็กำลังประสบปัญหาคดีความ หลังถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตั้งกรรมการสืบสวน หลังถูกร้องทุกข์ โดยชมรมนักกฎหมาย ให้ตรวจสอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือพ.ร.บ.ฮั้วประมูล
      จากกรณีที่นายสุรพล นิติไกรพจน์ ประธานกรรมการบริษัท อสมท.จำกัด (มหาชน) อนุมัติให้มีการต่อสัญญาดำเนินการส่งโทรทัศน์สีกับบริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้น จำกัด (ช่อง 3) ทำให้ช่อง 3 ได้รับการขยายอายุสัมปทานออกไปเป็นระยะเวลา 10 ปี 
      โดยชมรมนักกฎหมาย เห็นว่าการกระทำของบอร์ดอสมท.ที่มีมติรับเงิน 405 ล้านบาทให้มีการต่อสัญญาสัมปทานกับช่อง 3 เป็นการกระทำที่ไม่มีอำนาจและเป็นการละเว้นการกระทำตามหน้าที่เป็นเหตุให้ไม่เกิดการแข่งขันราคาอย่างเสรี หลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม และยังเอื้อประโยชน์ให้ผู้อื่นได้ไปซึ่งผลประโยชน์ของรัฐ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ในสัมปทานไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท ซึ่งบอร์ดอสมท.เคยแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินโครงการตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ (พ.ร.บ.ร่วมทุน) มาแล้วเพื่อให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมและยังเป็นไปตามคำแนะนำของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เคยแจ้งมายังบมจ.อสมท. 2 ฉบับ 
      แต่ภายหลังได้มีคำสั่งยกเลิก รวมถึงคณะกรรมการกฤษฎีกายังมีความเห็นให้บอร์ดอสมท.ไปหารือกับกสทช. แต่ บมจ.อสมท.ไม่ดำเนินการ กลับเสนอรัฐมนตรีขอรับเงิน 405 ล้านบาท
      ล่าสุด ดีเอสไอ มีหนังสือเชิญ นายวิชัย มาลีนนท์ กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด มาให้ถ้อยคำในวันที่ 16 มกราคม 2556 นี้ 
      ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลก ที่คำพูดของผู้บริหารช่อง 3 และ นักการเมืองซีกรัฐบาล ที่ออกมาชี้แจงว่า การสั่งถอดละครเหนือเมฆ 2 ไม่มีอะไรในก่อไผ่ ไม่มีคำสั่งการเมืองอยู่เบื้องหลัง 
      จะกลายเป็นคำพูด “ไร้ค่า” “ไม่น่าเชื่อถือ” ในสายตาแฟนละคร ในช่วงเวลานี้ ? 

แฮกเว็บช่อง3 ถามหา'เหนือเมฆ2' - ‘นนทรีย์’ จับมือสื่อเปิดใจถูกแบน 8 ม.ค.56




คาดเว็บช่อง 3 ถูกแฮก ขึ้น"เหนือเมฆข้าอยู่ไหน?" จุฬาฯจัดเสวนา “บอกความจริง ‘เหนือเมฆ/2’: สงสารช่อง 3 หรือประชาชนดี’” ดึงช่อง3 'นนททรีย์ นิมิบุตร' ร่วมเปิดปม โพลชี้ผู้ชมร้อยละ 96 ไม่พอใจ

วันที่ 7 ม.ค. 55 ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.orgรายงานว่า สืบเนื่องสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ระงับการออกอากาศละคร ‘เหนือเมฆ 2’ กะทันหันตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. 56 จนเกิดกระแสต่อต้านจากผู้ชมจำนวนมากและมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงประเด็นการแทรกแซงทางการเมือง
ล่าสุดวันนี้เวลาประมาณ 17.00 น. พบว่าหน้าเว็บไซต์ช่อง 3 (www.thaitv3.com) ปรากฏภาพนักแสดง’จา พนม’ และข้อความ “เหนือเมฆข้าอยู่ไหน?” โดยภาพหน้าเว็บไซต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ต่อไปในโซเชี่ยลมีเดีย ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่าเว็บไซต์ช่อง3 ถูกเจาะระบบข้อมูล หลังจากนั้นก็ไม่สามารถเข้าหน้าเว็บไซต์ช่อง 3 ได้จนกระทั่งเวลาประมาณ 17.15 น. หน้าเว็บไซต์จึงกลับมาเป็นปกติแต่ทำงานได้ช้าและภาพดังกล่าวหายไป โดยไทยรัฐออนไลน์(www.thairath.co.th) รายงานว่าผู้บริหารช่อง3 ทราบเรื่องเเล้ว และสั่งให้ดำเนินการแก้ไขจนหน้าเว็บกลับคืนสู่สภาพปกติ
ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่า ในเฟสบุคมีการกล่าวถึงและคาดการณ์กันว่ามือแฮกเกอร์คือ ผู้ดูแลเพจเฟสบุคชื่อ 'Unlimited Hack Team' ซึ่งมีการโพสภาพหน้าเว็บในช่วงเวลาดังกล่าวพร้อมบรรยายใต้ภาพว่า "เราอยากได้ความจริงว่าทำไมแบนละครเรื่องเหนือเมฆ" โดยมีผู้เข้ามากดไลค์และคอมเม้นให้กำลังใจมากมาย อาทิ "ผลงานในตำนาน" "เจ๋งมากคับทีมงาน ตบมือดังๆเลย" "นายแน่มากชอบๆๆ" เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าด้านคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเตรียมจัดเสวนาต่อกรณีการระงับออกอากาศละคร ‘เหนือเมฆ 2’ ในหัวข้อ “บอกความจริงเรื่อง ‘เหนือเมฆ/2’: สงสารช่อง 3 หรือประชาชนดี’” 
โดยมีนางสาวสุภิญญา กลางณรงค์  กรรมการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ,นายสมรักษ์ ณรงค์วิชัย ผู้จัดการฝ่ายผลิตรายการช่อง3 และนายนนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับละครเหนือเมฆ 2 ร่วมเปิดใจ  ที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ในวันอังคารที่ 8 ม.ค. 56 เวลา 13.30 น.
ขณะที่ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ ได้สำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการงดออกอากาศละครเรื่องเหนือเมฆ 2 มือปราบจอมขมังเวทย์ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 โดยสอบถามจากผู้ใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) จำนวนทั้งสิ้น 1,511 คน เก็บข้อมูลในวันที่ 4 - 6 มกราคม 2556
โดยผู้ชมร้อยละ 96 ระบุอยากดูละครเรื่องเหนือเมฆ 2 ให้จบ และไม่เห็นด้วยกับการที่ละครถุูกงดออกอากาศ ร้อยละ 95 เห็นว่าละครเหนือเมฆ 2  มีได้มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับการออกอากาศ และร้อยละ 92  เห็นว่าการงดออกอากาศของละครทางช่อง 3 ไม่มีเหตุผลเพียงพอ ขณะที่ร้อยละ 77 เห็นว่าคิดว่าการงดออกอากาศของละครมีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาล
ทั้งนี้สำนักข่าวอิศราได้ติดตามประเด็นดังกล่าว โดยความคืบหน้าล่าสุด พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการ กสทช. ให้ความเห็นว่า การระงับการออกอากาศละครเหนือเมฆ 2 เพราะทางช่อง 3 ตรวจสอบว่าอาจผิดตามมาตรา 37 พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 (ระบุว่า ห้ามไม่ให้ออกอากาศเนื้อหารายการที่มีลักษณะล้มล้างการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ ประชาชน หรือกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจารหรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อม ทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง) ขณะที่ผู้บริหารช่อง3ระบุว่า "ไม่มีคำตอบ" สำหรับเรื่องดังกล่าว
ขณะที่ นพ. กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล วิทยากรรายการชูรักชูรส ซึ่งออกอากาศทางช่อง 3 ได้ประกาศยกเลิกการเป็นวิทยากรรายการ "ชูรักชูรส" ผ่านเฟสบุคส่วนตัว โดยระบุว่ารับไม่ได้ที่ผู้บริหารช่อง 3 ไร้ศักดิ์ศรีความเป็นสื่อ
ด้านกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวในส่วนที่มีการเชื่อมโยงประเด็นกรณี ที่ชมรมนักกฎหมายพิทักษ์ผลประโยชน์รัฐ เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนให้ดีเอสไอตรวจสอบการต่อสัญญาร่วมดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สีระหว่างบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กับบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด (ช่อง 3) ออกไปอีก 10 ปีไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน  โดยล่าสุดได้ออกหนังสือเชิญนายสุรพล นิติไกรพจน์ อดีตประธานบอร์ด อสมท และผู้บริหารช่อง 3 เข้าชี้แจงข้อมูล ในวันที่ 16 ม.ค. 56 
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ::
'เปิดช็อตเด็ด เหนือเมฆ 2 - “นายกฯ –รองจักร” เจรจา “หัวคิว” ตัดถนน เหตุโดนแบน?' http://goo.gl/cblNN

'ประท้วงช่อง 3 แบนละครเหนือเมฆ นพ.กัมปนาท ถอนตัว “ชูรักชูรส”' http://goo.gl/glO8E


'ดูกันจะๆ คนไม่เชื่อ ช่อง 3 ถอดละครเหนือเมฆ ไร้ใบสั่งการเมือง เพราะ?' http://goo.gl/hmvrJ


'กสทช.เล็งเรียกช่อง 3 แจงเหตุแบน "เหนือเมฆ"-เชื่อถูกการเมืองบีบ' http://goo.gl/N9saF

................
ล้อมกรอบ
ขอเชิญร่วมเวทีเสวนา
หัวข้อ  “บอกความจริงเรื่อง ‘เหนือเมฆ/2’: สงสารช่อง 3 หรือประชาชนดี’”
วันอังคารที่ 8 มกราคม 2556 เวลา 13.30-15.30 น. 
ณ ห้อง 1001 อาคารมงกุฎสมมติวงศ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

13.00 – 13.30 น.          ลงทะเบียน
13.30 – 15.30 น.          เสวนาเรื่อง “บอกความจริงเรื่อง ‘เหนือเมฆ/2’: สงสารช่อง3หรือประชาชนดี”
วิทยากร           
คุณสุภิญญา กลางณรงค์            กรรมการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์
คุณสุวรรณา สมบัติรักษาสุข         อดีตประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุโทรทัศน์ไทย
นางจำนรรค์ ศิริตัน หนุนภักดี        นายกสมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์
อาจารย์สุภาพร โพธ์แก้ว             หัวหน้าภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ
คุณสมรักษ์ ณรงค์วิชัย               ผู้จัดการฝ่ายผลิตรายการสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง3
คุณนนทรีย์ นิมิบุตร                   ผู้กำกับภาพยนตร์ และผู้กำกับละคร “เหนือเมฆ 2”
15.30 น.                       ปิดการเสวนา

ที่มาภาพ :: https://www.facebook.com/UnlimitedHackTeam